2138 จำนวนผู้เข้าชม |
Acoustic Energy AE1 Active Loudspeakers
ส่วนใหญ่แล้วของทุกชิ้นที่รีวิวที่ Simplifi หรือที่อยู่ใน network ของ soundstage เป็นของใหม่ที่เพิ่งออกมาทั้งนั้น อย่างมากก็จะออกมาไม่เกินปีนึง และรีวิวที่เราทำก็จะเป็นของใหม่ๆที่เพิ่งเข้ามาในตลาด
แต่ลำโพงของ Acoustic Energy AE1 Active ตัวนี้ไม่ใช่ของใหม่ ลำโพงตัวนี้วางขายตั้งแต่ปี 2017 ตัวดั้งเดิมเกิดตั้งแต่ปี 1987 และเป็นส่วนหนึ่งของชื่อเสียงแบรนด์อย่าง Acoustic Energy สัญชาติอังกฤษแบรนด์นี้
จริงๆแล้วผมสนใจลำโพง AE1 Active มาสักพักแล้ว ละก็ยิ่งสนใจมากขึ้นเมื่อผู้อ่านท่านหนึ่งจากรัสเซียเขียนถึงผมว่าเค้ากำลังจะปรับเปลี่ยน hi-fi ของเขาให้กะทัดรัดขึ้น โดยจะเอาตัวลำโพง AE1 Active มาแทนที่ลำโพงตั้งพื้น Zu Audio และแอมป์ พอ Nation Imports ผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Acoustic Energy ติดต่อมาที่ Soundstage เพื่อให้รีวิวลำโพงตัวนี้ ผมได้โอกาสนั้นแล้ว ผมรีบยกมือแทบไม่ทัน!
ลำโพง AE1 Active แตกต่างจากตัวอื่นที่ผมเคยรีวิวเพราะมันรูปลักษณ์ของมันมาในแบบอะนาล็อคมากๆ และมาพร้อมกับแอมพลิฟายคลาส AB และ power supplies ไม่มีบลูทูท ไม่มีไวไฟหรือการสตรีมมิงใดๆ ดังนั้นมันจะต้องใช้ DAC พรีแอมป์เชื่อมต่อถ้าจะใช้ฟังก์ชั่นพวกนี้
ลำโพงที่ขายอยู่จะมีสี Piano Black หรือ Piano White แบบมันเงาในราคา 1,599 เหรียญสหรัฐต่อคู่ หรือ Piano Walnut ราคา 1,899 เหรียญสหรัฐต่อคู่ ขาตั้งพร้อมช่องใส่เสาด้านหน้าที่เข้ากับพื้นผิวของลำโพงมีจำหน่ายในราคา 599 ดอลลาร์ต่อคู่
Inside and out
ลำโพง AE1 Active ถือเป็นลำโพงที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ ตัวที่ผมได้รีวิวจะเป็นรุ่น high-gloss สีวอลนัทแบบไม้วีเนียร์ที่เข้ากับทุกสภาพพื้นผิว สีไม้วีเนียร์ให้ความรู้สึกอบอุ่น ดูเงางามมาก มีลายไม้ชัดที่สวยงามขึ้นเงาจนสะท้อนหน้าของผมได้เลย
ลำโพงมีขนาด สูง 11.8 × กว้าง 7.3 × ลึก 9.8 และน้ำหนัก 19.8 ปอนด์ โครงตู้สร้างจากแผ่นใยไม้อัดความหนาแน่นสูง 0.7 นิ้ว พร้อม fiberboard ที่ทนทานและแผ่นกันกระแทกภายใน AE1 Active มีตะแกรงผ้าสีดำแบบถอดได้ที่ติดด้วยแม่เหล็ก โดยมีตรา AE ติดอยู่ที่ด้านล่าง ถ้าถอดตะแกรงออกแล้วจะเห็น driver 2 ตัว คือ วูฟเฟอร์ขนาด 4.9 นิ้วและทวีตเตอร์โดมอลูมิเนียมขนาด 1 นิ้ว Acoustic Energy กล่าวว่า กรวยของวูฟเฟอร์นั้นประกบคู่โดย ใช้วัสดุเซรามิคเส้นใยอลูมิเนียม Hand-anodized ที่มีความแกร่งเป็นพิเศษ แต่น้ำหนักเบามาก การใช้วัสดุนี้สามารถขจัดการสั่นค้างในบางช่วงความถี่ อันเป็นผลจากการใช้กรวยกระดาษหรือพลาสติกได้ สำหรับทวีตเตอร์เป็นการออกแบบโดยใช้หลักเทคโนโลยี Wide Dispersion Technology (WDT) waveguide ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ output ของ driver ตัวโดมทวีตเตอร์
โดมทวีตเตอร์ห่อหุ้มด้วยตะแกรงลวด รอบท่อนำคลื่นของทวีตเตอร์และวูฟเฟอร์เป็นวงแหวนสีเงิน ไฟ LED สีน้ำเงินขนาดเล็กที่ฝังอยู่ที่ด้านล่างของตะกร้าอะลูมิเนียมหล่อของวูฟเฟอร์จะสว่างขึ้นเพื่อเป็นการบอกว่าลำโพงเปิดอยู่ ที่ด้านล่างของแผ่นกั้นด้านหน้ามีตรา Acoustic Energy ที่เป็นโลหะนูนขึ้นมา
ด้านบนสุดของแผงด้านหลังคือพอร์ต slot-shaped bass ทีเกือบจะเต็มพื้นที่ของทั้งตู้ลำโพง ตามที่บริษัทเห็นแล้วว่าการที่ใช้พื้นที่พอร์ตด้านหลังน้อยกว่าพอร์ตแบบธรรมดาทั่วไปจะทำให้เกิดเสียงลมน้อยลงเวลาเปิดระดับเสียงดังมากๆ พื้นผิวด้านหลังส่วนใหญ่เป็นแผงโลหะที่มีแจ็คอินพุตและปุ่มควบคุม ด้านบนซ้ายคือแจ็คอินพุตแบบบาลานซ์ (XLR) และแบบปลายด้านเดียว (RCA) AE1 Actives ขายเป็นคู่ และจัดส่งพร้อมสาย RCA ยาว 3 ม. สองเส้น การจะต่อแบบให้ balance ที่สุดจะเหมาะสำหรับการเดินสายที่ยาว แต่ถ้าคุณถ้าต้องการจะต่อแบบนี้ คุณจะต้องมีสาย XLR ของคุณเอง
ถัดจากแจ็คอินพุตคือส่วนควบคุมเสียง Bass และ Treble ทั้งคู่มีการตั้งค่า -2, 0 และ +2dB ด้านล่างตัวควบคุมคือปุ่มปรับระดับเสียงแบบหมุน ที่ด้านล่างขวามีช่องจ่ายไฟ IEC และด้านล่างมีสวิตช์โยกเปิด/ปิด
AE1 Active ใช้ Linkwitz-Riley active crossover อยู่ที่ 3.5kHz โดยสัญญาณจะไหลไปยังแอมพลิฟายเออร์คลาส AB สองตัวพร้อมพาวเวอร์ซัพพลาย แต่ละตัวสำหรับวูฟเฟอร์และทวีตเตอร์ และแต่ละตัวกำหนดให้มีเอาต์พุต 50W
Setup
ผมต่อ input ของ AE1 Active เข้ากับ Output ของ NAD C 658 สตรีมมิ่ง DAC-preamp ($1,649) ของผมโดยใช้สาย Benchmark Media Studio&Stage XLR และวางไว้บนแท่นวางลำโพง Monoprice Monolith ที่มีความสูงขนาด 28” ที่ด้านใดด้านหนึ่งของเตาผิงไฟฟ้าในห้องนั่งเล่นของผม ลำโพงอยู่ห่างจากผนังด้านหน้า 18 นิ้วและห่างกัน 7 นิ้วโดยเอนไปทางตำแหน่งฟังเล็กน้อยบนเบาะรองนั่งโซฟาที่ผนังด้านตรงข้ามซึ่งห่างออกไป 7 นิ้ว
อย่างที่ผมเขียนไปบน Simplifi ก่อนหน้านี้ว่าห้องนั่งเล่นของผมมีโหมดเสียง bass ที่ค่อนข้างไม่ไหวเพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้ความถี่ต่ำลงกว่า 200hz เจ้าตัวลำโพง C 658 ได้มีการแก้ไขสิ่งนี้ ซึ่งจะมีการวิเคราะห์ลักษณะของห้องแล้วสร้างเส้นโค้งเป็นการแก้ไขปัญหาของห้องนั่งเล่นของผม ผมได้ใข้ Dirac Live เพื่อที่จะได้ฟังลำโพง AE1 Active อย่างเต็มรูปแบบโดยที่ไม่มีปัญหาของห้องมากระทบ ผมจึงตั้งค่าขีดจำกัดไว้ที่ 200hz เพื่อที่จะทำให้ dirac live ไม่เปลี่ยนค่า output ให้มีความถี่ที่สูงกว่านี้ หลังจากฟังไป2-3ชั่วโมง ผมพบว่าแอมพลิฟายซักตัวในลำโพงเริ่มสั่นด้วยความถี่ที่สูงมาก ทาง Nation Imports จึงได้ทำการส่งตัวใหม่มาทดแทนอย่างรวดเร็วซึ่งตัวใหม่ทำงานได้ดีปกติ
Listening
ตลอดเวลาที่ผมทดสอบลองฟัง ผมทึ่งกับความเร็ว คล่องตัวและความใสของลำโพง AE1 Active อย่างมาก เสียงกว้างขวางยิ่งใหญ่ มีไดนามิคเรนจ์ที่ยอดเยี่ยมมากๆ ไมโครไดนามิกส์ก็เจ๋งมาก ช่วยให้สัมผัสได้ถึงความละเอียดอ่อนต่างๆของแต่ละเพลงที่ผมฟัง ลำโพงตัวนี้ผมสามารถเปิดเสียงดังได้โดยที่ไม่รู้สึกว่าอึดอัดหรือบีบอัดแต่อย่างใดเลย
เพลงที่ผมเล่นอย่างหนักหน่วงในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาก็คือ Clique อัลบั้มใหม่ของ Patricia Barber เกี่ยวกับมาตรฐานดนตรีแจ๊ส track แรกคือเพลง “This Town” ของ Lee Hazelwood ที่มีพลังขับเคลื่อนสูง (32-bit/352.8kHz WAV, Impex Records) ผมเล่น Roon ซึ่งลดตัวอย่าง track เป็น 24/192 สำหรับการเล่นผ่าน NAD C 658 เพลงนี้เริ่มต้นด้วยการริฟฟ์ดับเบิลเบสที่รวดเร็วโดย Patrick Mulcahy ซึ่งพอฟังผ่าน AE1 Actives: มันเพราะมาก ด้วยการผสมผสานที่ลงตัวของ snap และเสียงสะท้อนของไม้ แต่ยังไงก็แล้วแต่ โน้ตที่ต่ำที่สุดนั้นค่อนข้างคลุมเครือ การแก้ไขจาก Dirac Live ที่มีส่วนร่วมช่วยปรับปรุงโน้ตเหล่านั้นทำให้เสียงดับเบิลเบสมีความอิ่มและกังวานน้อยลงด้วย Dirac ยังทำให้ตำแหน่งของดับเบิ้ลเบสทางด้านขวาของเวทีเสียงมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ดันเสียงเครื่องดนตรีทีเล่นไปอยู่ด้านหลัง และทำให้ภาพของเพลงมีโฟกัสมากขึ้น ผมบอกตามตรงผมค่อนข้างชอบในการเซ็ตค่าแบบนี้ใน track นี้ ซึ่งผมโอเคโดยที่ไม่ต้องมี Dirac
หลังจากเพลงไปไม่กี่ท่อน Barber ก็เข้ามาร้องเพลงท่อนแรกพร้อมกับดับเบิ้ลเบสของ Mulcahy สิ่งแรกที่ผมเห็นคือขณะที่พวกเขา ร้องเพลง ““This town / Is a lonely town.” เหมือนเขามายืนร้องอยู่ตรงหน้าผมทั้งเพลง ผมสังเกตเห็นสิ่งนี้กับลำโพงอื่นๆ และกับอัลบั้มอื่นๆ ที่ Jim Anderson ดีไซน์เพลงแบบนี้ให้กับ Barber
“ฉันอยากฟังทุกพยางค์ที่แพทริเซียร้อง” Anderson บอกผมช่วงที่เราคุยกันตอนอัดเพลง Clique เธอกำลังเล่าเรื่องราวและฉันอยากฟังให้ชัดเจนว่าเธออยากจะสื่ออะไร AE1 Active ดูเหมือนจะเน้นไปแบบนั้น การตั้งค่าเสียง treble บนลำโพงทั้งสองตัวเป็น -2dB ทำให้เสียง sibilant เบาบางลงแต่ก็ยังคงเยอะกว่าที่ผมชอบอยู่ดี ผมชอบวิธีที่ active minimonitors เรนเดอร์เสียงอัลโตสุดเท่ของ Barber ซึ่งถูกล็อคไว้ตรงกลางเวทีเสียงด้านหน้ามากกว่า ไดนามิกนั้นรวดเร็วและดีงามจนเราสามารถติดตามฟัง Barber ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้อย่างดี
และผมก็ชื่นชอบวิธีที่พวกเขาถ่ายทอดการบรรเลงดนตรี และ AE1 Active ก็ได้ตอกย้ำการเล่นเปียโนของ Barber ที่เวลา 48 วินาที ทำให้ได้คอร์ด Middle-Register ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความแข็งแกร่งและความยับยั้งชั่งใจ ผมค่อนข้างแน่ใจว่า Barber เล่นมัน ในช่วงระหว่างที่ท่อนเปียโนกระตุกในช่วงกลางเพลง AE1 Active ได้ปรับแต่งเสียงของ Barber ให้กับแต่ละโน้ตและคอร์ด และนั่นทำให้ผมสามารถฟังตามเวทีเสียงไปต่อได้ระหว่าง legato และ staccato
กลองชุดของ Jon Deitemyer ซึ่งเรียงอยู่ด้านหลังของเสียงนั้น ให้เสียงที่โดดเด่นออกมาพอๆกัน ฉาบขนาดใหญ่ทางซ้ายและไฮแฮททางขวามีความเงาสวยงาม โดยไม่ทำให้เกิดเสียงแตกแต่อย่างใด
ในเพลง “Para” จาก Calexico’s Algiers (24/88.2 ALAC, Anti-/HDtracks) เสียงกระซิบของ Joey Burns ก็ค่อนข้างโดดเด่นและก็ไม่สามารถแยกเสียงออกได้เท่าไหร่ เช่นเดียวกับ track ของ Barber ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการบันทึกเสียง แต่ AE1 Active สามารถนำ track นี้มาเล่นให้ชัดได้อีกครั้ง การตั้งค่าเสียง treble เป็น -2dB ช่วยบรรเทาปัญหา แต่ก็ไม่ได้ทำให้หมดไปทั้งหมด การปรับนี้ยังทำให้มันทึบแล้วก็ดาร์กขึ้น ผมชอบฟังเวลาที่ตัวคอนโทรลอยู่ในพื้นราบมากกว่า
เครื่องดนตรีประกอบฟังดูยอดเยี่ยม กลองเบสและสแนร์ของ John Convertino ตีได้แรงมาก ขับเคลื่อนเพลงไปข้างหน้า กีตาร์เหล็กคันเหยียบของ Paul Niehaus และ Wurlitzer ของ Craig Schumacher ที่ทำให้ความรู้สึกของการสูญเสียและความปวดร้าวแผ่ซ่านไปทั่วเพลงนี้ และผมชื่นชมวิธีที่ mini minitor ของ AE ดึงองค์ประกอบที่ละเอียดอ่อนออกมาจากส่วนผสมที่หนาแน่นนั้น เช่น วลีทรัมเป็ตโดย Jacob Valenzuela ทางด้านซ้าย ไวโอลินและวิโอลาเล่นอย่างเงียบๆ โดย Tom Hagerman ทางด้านขวา
เปียโนเดี่ยวยังให้เสียงที่ไพเราะผ่าน AE1 Actives ทุกท่อนใน The Carnegie Hall Concert (16/44.1 ALAC, ECM) ของ Keith Jarrett ถูก improvise เช่นเดียวกับอัลบั้มเดี่ยวแสดงสดทั้งหมดของเขา ยกเว้นอังกอร์ห้าท่อนในตอนท้าย “Part VII” เป็นเพลงร็อคที่ใช้พลังงานสูง โดยมีโน้ตและคอร์ดทางซ้ายที่ร้องยากซึ่งสนับสนุนท่วงทำนองแห่งความสุขที่เล่นในอ็อกเทฟกลางและบน โน้ตมือซ้ายเหล่านั้นมีแรงส่งที่น่าอัศจรรย์ สื่อถึงพลังของคอนเสิร์ตแกรนด์ของ Jarrett ได้อย่างชัดเจนโน้ตและคอร์ดมือขวาที่ยิงเร็วของ Jarrett อย่างง่ายๆ และน่าประทับใจ และคอร์ดที่แยกออกจากกันของเขาก็วาดเส้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ โทนเสียงของเปียโนมีความสม่ำเสมอจากบนลงล่าง “Part X” เป็นเรื่องเกี่ยวกับโทนสีและสี ตลอดส่วนใหญ่ของ track นี้ Jarrett เปล่งเสียงคล้ายระฆังจากเปียโนของเขา AE1 Actives บันทึกคุณภาพนี้ได้อย่างสวยงาม ด้วยไมโครไดนามิกส์และความเร็วที่น่าประทับใจ ไม่แปลกใจเลยว่าผมชอบความคิดสร้างสรรค์และการเล่นเปียโนที่น่าทึ่งของ Jarrett อย่างมาก
เพื่อดูว่ามินิมอนิเตอร์เหล่านี้สามารถจัดการกับไดนามิกสุดขั้วได้อย่างไร ผมได้พิจารณาการบันทึกเสียง Bolero ของ Ravel ในตำนานของ Herbert von Karajan ในปี 1966 ร่วมกับวง Berlin Philharmonic Orchestra (24/96 FLAC, Deutsche Grammophon/Qobuz) เพลงเริ่มต้นอย่างเงียบ ๆ โดยมีกลองที่ด้านหลังขวาเคาะจังหวะ ostinato จากนั้นฟลุตเดี่ยวจะแนะนำเมโลดี้หลัก โดยมีวิโอลาและเชลโลบรรเลงประสานเสียงสามจังหวะอย่างเงียบๆ เมโลดี้ถูกเล่นซ้ำ 17 ครั้งโดยเครื่องดนตรีประเภทเดี่ยวและแบบกลุ่มที่แตกต่างกัน รวมถึงคลาริเน็ต บาสซูน โอโบดามอร์ แซ็กโซโฟนเทเนอร์ โซปราโนแซก ทรัมเป็ต ทรอมโบน และเซเลสเต้ ซึ่งเพิ่มพูนความดังและความหนาแน่นอย่างไม่รู้จักพอ ท่อนนี้จบลงด้วยไคลแมกซ์ที่ยิ่งใหญ่ โดยวงออร์เคสตราทั้งวงเล่นเพลง fortissimo
AE1 Actives ตอกย้ำส่วนที่เงียบสงบในตอนเริ่มต้น สร้างโทนสีที่หลากหลายของเครื่องเป่าด้วยความแม่นยำที่น่ายกย่อง ปี่ชวานั้นสุกงอมและเต็มไปด้วยผลไม้ โอโบ d'amore รุ่มรวยและโอ้อวด; เทเนอร์แซ็กโซโฟนนั้นร้อนระอุ และโซปราโนแซ็กโซโฟนก็เร่าร้อน แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจจริงๆ คือไมโครไดนามิกส์ที่น่าทึ่ง แม้ว่าฟลุตจะเล่นเปียโนในบทนำ แต่ผมก็สามารถได้ยินถ้อยคำที่ละเอียดอ่อนของศิลปินเดี่ยว—โน้ตบางโน้ตแตกต่างกัน บางโน้ตผสมผสานกัน รูปแบบเดียวกันซ้ำกับคลาริเน็ต บาสซูน อีแฟลตคลาริเน็ต และ oboe d’amore โซโล ในแต่ละส่วน AE1 Actives ได้เน้น message ดั้งเดิมที่ HvK ดึงออกมาจากศิลปินเดี่ยวของเขาอย่างสวยงาม การปรากฎตัวของพิณทางด้านหลังขวาอย่างกะทันหัน ร่วมกับวิโอลาและเชลโลในการประสานเสียงสามจังหวะคือเสียงที่บริสุทธิ์อย่างมาก แม้ว่าเครื่องดนตรีจะเล่นอย่างเงียบ ๆ แต่ผมก็รู้สึกซาบซึ้งถึงแรงที่ใช้ดึงสายแต่ละเส้นเลยทีเดียว
เริ่มด้วยการโซโล่ oboe d’amore pizzicato violins และดับเบิ้ลเบสประสานเสียงเชลโล โน้ตดับเบิ้ลเบสที่ดึงออกมานั้นค่อนข้างดังและไม่ชัด เกือบจะเป็นผลจากโหมดเสียงเบสในห้องฟังของผมอย่างแน่นอน การเปลี่ยนการตั้งค่าการแก้ไขห้องต่ำกว่า 200Hz ของ Dirac ใน C 658 ของผมทำให้มีความเปลี่ยนแปลง ความกระปรี้กระเปร่าหายไป ความแตกต่างของคำจำกัดความและโน้ตดีขึ้นอย่างมาก และการนำเสนอทั้งหมดก็โปร่งใสมากขึ้น ไม่คลุมเครือ
ในช่วงกลางและช่วงหลัง ท่วงทำนอง จังหวะ และความกลมกลืนของ Bolero บรรเลงโดยกลุ่มเครื่องดนตรีที่มีขนาดใหญ่กว่าที่เคย เช่น เครื่องสาย เครื่องลมไม้ เครื่องเป่าทองเหลือง เครื่องเพอร์คัชชัน AE1 Actives แสดงการสับแบบแมคโครไดนามิก แม้แต่ในเสียงที่หนาแน่นที่สุด เสียงก็ยังคงโปร่งใส ดังนั้นผมจึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมการใช้ถ้อยคำที่สื่ออารมณ์ของผู้เล่น BPO ภาพเสียงนั้นเกือบจะเหมือนเลเซอร์ออกมาเลย โดยมีเลเยอร์จากหน้าไปหลังที่ยอดเยี่ยม เวทีเสียงกว้างใหญ่ชวนให้นึกถึงเพลง Jesus-Christus-Kirche ในกรุงเบอร์ลิน ซึ่งเป็นสถานที่บันทึกเสียงระดับตำนานของ Karajan ร่วมกับ BPO
เฉพาะในช่วงเวลาที่ดังที่สุดของท่อนสุดท้ายเท่านั้นที่ AE1 Actives ให้เสียงสูงสุดที่ 85dB ได้สัมผัสกับความน่ากลัวที่คืบคลานเข้ามา ยังไม่เพียงพอที่จะทำลายความสุขที่ผมได้รับผ่านความละเอียดจากลำโพงตัวนี้ แม้แต่ในส่วนเหล่านี้ ก็ไม่มีความรู้สึกของความแออัดหรือการบีบอัดเลยแม้แต่น้อย
Comparison
ผมจับลำโพง AE1 Active มาทำการเปรียบเทียบกับ กับลำโพงแอคทีฟแบบสองทิศทางของอังกฤษอีกตัว นั่นคือ LS50 Wireless II ของ KEF ($2499.99/คู่) ในขณะที่ AE1 Active เป็นการออกแบบแบบ analog ที่มีไว้สำหรับใช้กับส่วนประกอบต้นทางเช่นปรีแอมป์ LS50WII เป็นการออกแบบที่ใช้ DSP ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนพร้อม Wi-Fi และ Bluetooth ในตัว DAC ความละเอียดสูงและสตรีมเมอร์เครือข่าย และชุด input ที่หลากหลาย รวมถึง HDMI eARC, TosLink และ coaxial S/PDIF และอะนาล็อกระดับสาย สำหรับการเปรียบเทียบนี้ ผมสตรีมเพลงจาก Roon ไปยัง KEF และ NAD C 658 ของผม ซึ่งยังคงเชื่อมต่อกับอินพุต XLR ของ AE1 Active ผมปิด Dirac Live ไว้สำหรับการเปรียบเทียบนี้ และวางปุ่มคอนโทรลของ AE1 Active อยู่ในตำแหน่งบนพื้นราบ
ในเพลง “This Town” เสียงของ Patricia Barber ฟังได้เต็มอิ่มกว่าผ่าน KEFs ดังนั้นการร้องเพลงของเธอจึงฟังราวกับว่ามาจากทั้งตัวของเธอ แทนที่จะมาเพียงแค่เสียงเท่านั้น เสียง sibilants ยังคงร้อนอยู่นิดนึง แต่น้อยกว่า AE1 Active โทนเสียงเปียโนมีความสมบูรณ์และก้องกังวานยิ่งขึ้นผ่าน KEF แต่ AE1 Active จับเสียงที่หลากหลายของ Barber บนเปียโนได้ดีกว่า ดังนั้นโน้ตแต่ละตัวในคอร์ดของเธอจึงมีเสียงที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ไม่ต่างกันกับเสียงของ Jon Deitemyer AE1 Actives ทำให้แน่นขึ้นเล็กน้อย การวางตำแหน่งของเวทีเสียงมีความแม่นยำกว่าเล็กน้อยใน AE1 Active ดับเบิ้ลเบสของ Patrick Mulcahy ให้เสียงกระหึ่มกว่าเล็กน้อยใน AE1 Active แต่กว้างขวางกว่าและอิ่มกว่าเล็กน้อยใน KEF
“Part X” จาก The Carnegie Hall Concert เสียงของคอนเสิร์ตแกรนด์ของ Jarrett นั้นเต็มอิ่มกว่าเล็กน้อยเมื่อผ่าน KEF แต่ AE1 Active ฟังดูชัดเจนกว่า ดังนั้นผมจึงรับรู้ถึงการใช้ถ้อยคำและการใช้แป้นเหยียบที่ยอดเยี่ยมของ Jarrett มากขึ้น KEF ให้เสียงที่หนักแน่นมากขึ้นในช่วงเสียงกดต่ำลง แต่ AE1 Active ให้เสียงที่มีประกายขึ้นมากกว่า โดยรวมแล้ว AE1 Active ให้ความรู้สึกของ Jarrett ออกมาได้ชัดเจนมากกว่า
ในการบันทึก BPO ของเพลง Bolero ของ Ravel โทนเสียงออเคสตร้านั้นมีน้ำหนักและนุ่มนวลกว่าผ่าน KEFs นุ่มนวลและโปร่งใสกว่าเล็กน้อยผ่าน AE1 Active ในท่อนแรก โทนเสียงของเครื่องเป่าที่เล่นทำนองหลักซ้ำนั้นมีความไพเราะและสมบูรณ์กว่าเล็กน้อยผ่าน KEF
ในทางตรงกันข้าม การประชันกันระหว่างเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าเดี่ยวนั้นคมชัดกว่าเล็กน้อยผ่าน AE1 Active ดังนั้นผมจึงได้ยินเสียงหายใจและการใช้คำพูดของผู้เล่นมากขึ้นเล็กน้อย แต่องค์ประกอบเหล่านี้ก็ไม่ได้ขาดหายไปจาก KEF กลองสแนร์ที่ขับเคลื่อนงานนี้ให้เสียงที่คมชัดและน่าทึ่งยิ่งขึ้นผ่าน AE1 Active แต่ใหญ่ขึ้นและทรงพลังยิ่งขึ้นผ่าน KEF เสียงสตริงนุ่มนวลกว่าใน KEF แต่โปร่งใสน้อยกว่า ในทางเดินที่มีเสียงดังและหนาแน่นในตอนท้าย KEF มีความกระด้างน้อยกว่า AE1 Active แต่เสียงบีบอัดกว่าเล็กน้อย
Conclusion
ผมพบว่าการเปรียบเทียบระหว่าง AE1 Active และ LS50 Wireless II เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า AE1 Actives เอาชนะ KEFs ได้อย่างแน่นอนซึ่งได้รางวัล Reviewers’ Choice แล้ว และผมว่า LS50WII ของ KEF จะเข้าชิงใน SoundStage! Network Product of the Year ที่จะประกาศในเดือนธันวาคมนี้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าลำโพงทั้งสองตัวนี้มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่แตกต่างกัน LS S50 Wireless II มีระบบใช้งานที่ครบในตัวมันเอง แค่คุณติดตั้งมันในบ้านของคุณ คุณก็พร้อมที่จะสตรีมเพลงไม่ว่าจะจากมือถือของคุณหรือสตรีมจากที่อื่นที่คุณชอบ ส่วนที่น่าสนใจของลำโพง Active ที่ใช้แบบ DSP พร้อมใข้งาน ผมว่าก็มีหลายคนที่ต้องการแบบ active minimotor แบบคู่ที่จะสามารถจับคู่กับ DAC-Preamp ตามแบบที่เขาเลือกได้ หากคุณเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ Acoustic Energy AE1 Active เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของคุณหรือแทบจะเป็นอันดับแรกเลยละครับ